วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024 “หนุมานกองปราบ” คว้าทีมชนะเลิศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024 

“หนุมานกองปราบ” คว้าทีมชนะเลิศสุดยอดทีมปฏิบัติการพิเศษ เตรียมไปแข่งขันระดับโลก



        พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปเป็นประธานพิธีปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024 ณ กองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 17พฤษภาคม 2567



        สำหรับการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024 ในครั้งนี้ อยู่ภายใต้โครงการฝึกอบรมเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ระดับกองบัญชาการ ประจำปี 2567 โดยการแข่งขันจัดขึ้นในวันที่ 13-17 พฤษภาคม 2567 เพื่อค้นหาสุดยอดทีมปฏิบัติการพิเศษ เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมแข่งขัน UAE SWAT Challenge ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันจากกองบัญชาการตำรวจต่างๆ ทั่วประเทศเข้าร่วม 29 ทีม แบ่งเป็น 5 Stage คือ Stage 1 HOSTAGE RESCUE ภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน , Stage 2 ASSAULT EVENT ภารกิจจู่โจม , Stage 3 Officer Rescue ภารกิจปฏิบัติการกู้ภัย , Stage 4 TOWER ASSAULT ภารกิจโจมตีหอคอย และ Stage 5 OBSTACLE COURSE ภารกิจสิ่งกีดขวาง โดยทีมที่ชนะเลิศการแข่งขัน ได้แก่ “ทีมหนุมาน” จากกองบังคับการปราบปราม , อันดับที่ 2 “ทีมบูรพา 491 A” จากตำรวจภูธรภาค 2 และอันดับที่ 3 “ทีมทศรถ 491 A” จากตำรวจภูธรภาค 4



        พล.ต.ท.อัคราเดช ฯ กล่าวว่า การฝึกครั้งนี้เป็นการเรียนรู้ทักษะเพื่อให้เกิดความชำนาญในการปฏิบัติหน้าที่  สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ เตรียมการวางแผน ประสานการปฏิบัติ พัฒนาศักยภาพเชิงทักษะ ภายใต้สถานการณ์วิกฤติ ซึ่งในสถาณการณ์จริงจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงจำเป็นต้องมีการซักซ้อมทำความเข้าใจบทบาทหน้าที่ร่วมกัน ส่งผลให้การปฎิบัติภารกิจบรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่ประชาชนได้  ซึ่งขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมในการฝึกอบรมและการแข่งขันครั้งนี้ ที่ช่วยกำกับดูแลให้เป็นไปตามความเรียบร้อย สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์


“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาการจราจรหน้าสถานีขนส่งหมอชิต และหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาการจราจรหน้าสถานีขนส่งหมอชิต และหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์

พบปัญหารถแท็กซี่รุกล้ำช่องทางเดินรถ 

สั่งการ สน.ที่รับผิดชอบหาแนวทางแก้ไขปัญหาภายใน 1 สัปดาห์


          พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาการจราจรที่มีสาเหตุจากการบริการของรถโดยสารสาธารณะขนาดเล็ก บริเวณ 2 จุด ได้แก่ บริเวณ ถ.กำแพงเพชร 2 หน้าสถานีขนส่งหมอชิต และสถานีขนส่งรถโดยสารขนาดเล็ก จตุจักร กรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ สน.บางซื่อ และจุดที่ 2 บริเวณ ถ.ราชดำริ หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และบริเวณหน้าห้าง Big C ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบ สน.ลุมพินี สน.ปทุมวัน และ สน. พญาไท เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567



         โดยทั้ง 2 จุด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้เรียกผู้กำกับการ , รองผู้กำกับการฝ่ายจราจร และสารวัตรฝ่ายจราจร มาดูปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน พบว่ามีรถโดยสารสาธารณะขนาดเล็ก เช่น Taxi จำนวนหลายคัน จอดรถรอรับและส่งผู้โดยสาร รุกล้ำช่องทางเดินรถหลายช่องทาง ส่งผลทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนไม่ได้รับความสะดวก และเกิดปัญหาการจราจรติดขัดสะสม สะท้อนให้เห็นถึงขาดการจัดระเบียบ และเคารพต่อกฎหมายการจราจรอย่างมาก


           ภายหลังการลงพื้นที่ดูสภาพปัญหา และพูดคุย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ได้ให้ข้อแนะนำวิธีการแก้ปัญหาและการปฏิบัติ  พร้อมสั่งการให้ผู้กำกับการและทีมงานจราจรของ สน. นำไปศึกษา ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน และผู้ประกอบการ เพื่อรับทราบและร่วมกันเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา โดยให้เวลา 1 สัปดาห์ และภายในสัปดาห์หน้า วันที่ 20-24 พฤษภาคม 2567 นี้ จะเชิญผู้รับผิดขอบงานจราจรของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งระดับกองบัญชาการ , กองบังคับการ และสถานีตำรวจนครบาล รวมถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร ผู้แทนจากสำนักขนส่ง และผู้แทนผู้ประกอบการ มาประชุมหารือแนวทางการจัดระเบียบ การแก้ไขปัญหาร่วมกัน เพื่อกำหนดรูปแบบการปฏิบัติทั้งของเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการ ที่จะลดปัญหาการจราจร โดยจะมีการประเมินผลและแก้ไขเป็นระยะต่อไป


โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ จัดโปรสุดพิเศษที่เค้กช็อพ

โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ จัดโปรสุดพิเศษที่เค้กช็อพ 

       เค้กช็อพ  โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ เชิญชวนคุณมาเติมความสดชื่นในทุกๆ เช้าวันใหม่ด้วยขนมอบร้อนๆ จากเตา สดใหม่ อาทิ ขนมปัง พัฟ พาย ฯลฯ พร้อมเครื่องดื่มหลากหลายที่คัดสรรมาอย่างพิเศษ ในราคาสบายกระเป๋า เริ่มต้นเพียง 60 บาท เท่านั้น

       เมนู “ชีสเค้กโยเกิร์ตส้ม” แนะนำโดยเชฟเบเกอรี่ผู้มากประสบการณ์ จำหน่ายเพียงชิ้นละ 90 บาท และแบบปอนด์เพียง 490 บาท พร้อมเมนูเครื่องดื่มแนะนำคือ “Orange Moscow Mule” แก้วละ 99 บาทเท่านั้น จัดบริการถึงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้

       โปรโมชั่นพิเศษ!! รับส่วนลด 10% ทันทีเมื่อสั่งเครื่องดื่ม ชา-กาแฟ หรือ สมูทตี้ 1 แก้วคู่กับเค้ก 1 ชิ้น เปิดบริการทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00-20.00 น.

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2276-4567 ต่อ 8797 หรือ ไลน์ @theemeraldhotel  และ www.facebook.com/theemeraldcoffeeshop







วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ประกอบพิธีจุดเทียนเปิดงานฉลองบรรลุธรรมหลวงปู่ไต้ฮง ประจำปี 2567

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ประกอบพิธีจุดเทียนเปิดงานฉลองบรรลุธรรมหลวงปู่ไต้ฮง ประจำปี 2567


      มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ที่ปรึกษาประธานกรรมการ  ดร.สุทัศน์ เตชะวิบูลย์ รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย คณะกรรมการ ผู้ช่วยกรรมการ และเจ้าหน้าที่บริหาร  ร่วมในพิธีจุดเทียนเปิดงานฉลองบรรลุธรรมหลวงปู่ไต้ฮง ประจำปี 2567 โดยมี ศิษยานุศิษย์และสาธุชน ร่วมในพิธี ณ ศาลเจ้าไต้ฮงกง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ เมื่อวันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2567

       โดยระหว่างวันที่ 14-19 พฤษภาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอเชิญศิษยานุศิษย์และสาธุชน ร่วมงานฉลองบรรลุธรรมหลวงปู่ไต้ฮง ประจำปี 2567  สักการะหลวงปู่ไต้ฮงเพื่อความเป็นสิริมงคล ชมการแสดงอุปรากรจีน (งิ้ว) และ รับประทานสาคูสิริมงคล (อี๊) โดยในปีนี้มูลนิธิฯ จัดให้มีการบริการใส่ถุงกลับบ้าน ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ


        ชมกำหนดการงานฉลองบรรลุธรรมหลวงปู่ไต้ฮง รวมถึงติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง [ www.facebook.com/atpohtecktung ]

## ป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##

#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418

#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

โรงพยาบาลของกลุ่ม BCH และ เมดีซ กรุ๊ป ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ เปิดตัวศูนย์การจัดเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน CELL HARVESTING CENTER

โรงพยาบาลของกลุ่ม BCH และ เมดีซ กรุ๊ป ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญ 

เปิดตัวศูนย์การจัดเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน CELL HARVESTING CENTER 

เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Medical Hub ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์

        บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านสถาบันการฝากเก็บ คัดแยก เพาะเลี้ยง และวิจัยสเต็มเซลล์แบบครบวงจร พร้อมรางวัลการันตีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล  จำกัด (มหาชน) กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์  กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มโรงพยาบาลการุญเวช และกลุ่มโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ซึ่งเป็นกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย มีทั้งหมด 14 สาขาในประเทศไทย และ 1 สาขาในต่างประเทศ ที่มีวิสัยทัศน์ เพื่อการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจการบริการด้านสุขภาพทั้งในประเทศ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่การเปิดตัวศูนย์การเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Cell Harvesting Center) ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย และครบวงจร ยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง การบริการทางการแพทย์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยนวัตกรรมซึ่งเป็นเทรนด์ของเทคโนโลยีระดับโลก เพื่อให้ได้การฝากเก็บสเต็มเซลล์ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงทุกช่วงวัยซึ่งมูลค่าของตลาดนี้ในระดับโลกถือว่าประเมินค่าไม่ได้เพราะทุกคนสามารถฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกันของตัวเองได้

          ศูนย์การเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Cell Harvesting Center)  มุ่งเน้นฐานลูกค้าที่มีพฤติกรรมการเลือกบริโภคสินค้าหรือบริการและมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างจากลูกค้ากลุ่มอื่นๆ โดยลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเหล่านี้มักจะมองเห็นความสำคัญของการใช้จ่ายไปกับการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตนเอง รวมทั้งยังมองหาทางเลือกที่ใช้นวัตกรรมอันก้าวหน้าใหม่ในการสร้างชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพแข็งแรงให้กับตนเอง

           นายแพทย์วีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผู้คนในโลกปัจจุบันกำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากวิกฤติด้านสุขภาวะที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม มลพิษเช่นPM 2.5 อัตราผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ไปจนถึงสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19 และเชื้อโรคกลายพันธุ์ชนิดใหม่อย่างมากมาย เมดีซ กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวในทั่วโลก และได้ดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องมาถึง 14 ปี เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนด้านสุขภาพให้กับคนทั่วโลกมุ่งมั่นนำเสนอทางเลือกใหม่ที่จะทำให้ผู้คนสามารถมีชีวิตอันยืนยาวและใช้ชีวิตในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิมได้ ผ่านนวัตกรรม BIOlongevity ที่ครบวงจรที่สุด โดยในปัจจุบัน เรามียอดรวมจำนวนการฝากเก็บสเต็มเซลล์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าทั่วโลก เพราะทุกกระบวนการ ตั้งแต่การฝากเก็บ จนถึงการเพาะเลี้ยงเซลล์ ถูกคิดขึ้นจากงานวิจัยที่ได้รับการรับรองจากสถาบันต่าง ๆ ในระดับโลก เราพิถีพิถันในทุกรายละเอียดจนได้รับรางวัลการันตีคุณภาพจากเวทีระดับสากลมากมาย อาทิ รางวัลยอดเยี่ยมต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อนจาก Frost & Sullivan ในฐานะธนาคารสเต็มเซลล์ที่ดีที่สุดของประเทศไทย (Thailand’s Stem Cell Banking Company of the Year) รางวัล World Branding Awards โดย World Branding Forum รางวัลระดับอนุภูมิภาค South East Asia Stem Cell Banking Technology Innovation Leadership Award และ ล่าสุด 2021-2024 Southeast Asia Stem Cell Banking Company of the Year Award* I Frost & Sullivan Awards …ความสำเร็จจากระดับประเทศสู่ที่หนึ่งในระดับภูมิภาค 

        "เรายังได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสถาบัน นั่นคือ The American Association of Blood Banks(AABB)ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ให้การรับรองและกำหนดมาตรฐานแนวทางการดำเนินงานของธนาคารสเต็มเซลล์ที่เข้มงวดที่สุดในโลกโดยเป็นมาตรฐานคุณภาพที่ครอบคลุมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสเต็มเซลล์ชนิดเม็ดโลหิต (Hematopoietic stem cells: HPCs) ที่คัดแยกได้จากเลือดจากสายสะดือทั้งกระบวนการดำเนินการ ตั้งแต่การจัดเก็บในระยะยาว ไปจนถึงการกระจายขนส่งเพื่อรองรับการรักษาให้กับผู้ป่วยในทั่วโลก"

           นายแพทย์วีรพล ยังกล่าวถึงเทคโนโลยีการฝากเก็บสเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อไขมันไว้อย่างน่าสนใจว่า “สเต็มเซลล์ชนิดเนื้อเยื่อมีเซนไคม์ (Mesenchymal Stem Cell: MSCs) ในอดีตเรามีความเข้าใจกันว่าควรจัดเก็บจากเนื้อเยื่อสายสะดือของทารกแรกเกิดเท่านั้น มีเพียง เมดีซ กรุ๊ป ที่พยายามพัฒนานวัตกรรมการคัดแยกและเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์นี้จากเนื้อเยื่อไขมันอย่างมุ่งมั่น เพื่อเปิดโอกาสให้กับทุกคนซึ่งรวมถึงตัวผมเองด้วยที่พลาดโอกาสการฝากเก็บสเต็มเซลล์ในวันแรกเกิด ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของการฝากเก็บเซลล์ต้นกำเนิดที่ดีที่สุดของตัวเองอีกครั้ง การฝากเก็บ MSCs” ของตัวเอง ไว้เพื่อตัวเองในอนาคต นับเป็นหนทางที่ปลอดภัยและไม่ขัดต่อจริยธรรมใดในการดูแลสุขภาพของมนุษย์ที่จะพึงมีได้ เมดีซ กรุ๊ป ควบคุมมาตรฐานในการจัดเก็บแช่แข็งเซลล์ที่อุณหภูมิ - 196 องศาเซลเซียส ในไอระเหยของไนโตรเจนเหลว เพื่อคงประสิทธิภาพได้ยาวนาน เมดีซ กรุ๊ป มอบกรมธรรม์การจัดเก็บ 60 ปี ซึ่งเป็นการดูแลที่ยาวนานที่สุดในอุตสาหกรรมธุรกิจธนาคารรับฝากเก็บสเต็มเซลล์ นอกจากนั้น MEDEZE GROUP PTE. LTD. (สาขาสิงคโปร์) ยังพัฒนานวัตกรรมการสร้างอวัยวะเทียมจากสเต็มเซลล์ โดยอวัยวะที่ประสบความสำเร็จแล้วคือ “กระจกตา” 

"ในระดับโลกการแข่งขันในการพัฒนาความก้าวหน้าของการนำสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกันไปใช้เพื่อให้มนุษย์มีสุขภาพและคุณภาพการใช้ชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีความสุขนับเป็นการแข่งขันที่สร้างนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด แต่ถ้าเราทุกคนต้องการจะไปสู่ทิศทางเดียวกันนี้ให้ได้ เราทุกคนควรฝากเก็บสเต็มเซลล์ของตัวเองไว้ก่อน เพื่อหยุดอายุเซลล์ของตัวเองไว้ในวันนี้ เพราะสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกคนในการที่จะต่อยอดใช้ประโยชน์ในอนาคต ดังนั้น การตั้งต้นเก็บเซลล์จากเลือดสายสะดือ/เนื้อเยื่อสายสะดือ/เนื้อเยื่อไขมันที่มีคุณภาพดี ด้วยกระบวนการที่ถูกต้องทางการแพทย์จึงสำคัญยิ่งสถานพยาบาลคุณภาพเหนือระดับของโรงพยาบาลของกลุ่ม BCH จึงเป็นนับเป็น ศูนย์การเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Cell Harvesting Center) ที่ดีเลิศด้วยประการทั้งปวง"

           ศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล  จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในส่วนของบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กลุ่มโรงพยาบาลการุญเวช และกลุ่มโรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล เป็น กลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย มีทั้งหมด 14 สาขาในประเทศไทย และ 1 สาขาในต่างประเทศ โดยมีวิสัยทัศน์เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจการบริการด้านสุขภาพทั้งในประเทศ และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  บริษัทมุ่งมั่นที่จะให้บริการทางการแพทย์ พร้อมด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ที่ทันสมัยและครบวงจรเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้มาใช้บริการ  โดยพันธกิจหนึ่งของบริษัทฯเรา คือ เราจะร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ ในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์ความสำเร็จร่วมกัน เราจะมอบความไว้วางใจในด้านการบริการสุขภาพเพื่อให้โรงพยาบาลของเราเป็นหนึ่งในใจผู้ป่วย และวันนี้เมื่อเราร่วมมือกับ เมดีซ กรุ๊ป ในการจัดตั้งศูนย์การเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Cell Harvesting Center) ยิ่งเป็นการยืนยันถึงศักยภาพของเราในการดูแลคนไข้ได้อย่างรอบด้าน

           การเปิดศูนย์การเก็บเซลล์เพื่อการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกัน (Cell Harvesting Center) ของโรงพยาบาลของกลุ่ม BCH นั้น เพื่อรองรับการให้บริการสำหรับผู้รับบริการทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมถึงผู้รักสุขภาพจากนานาชาติ ที่มีความต้องการฝากเก็บสเต็มเซลล์และเซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีคุณภาพดี ทำให้ทุกขั้นตอนปลอดภัย และผลลัพธ์ที่ได้คือการวางรากฐานของสุขภาพสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ด้วยโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ระดับสูงและบริการที่น่าประทับใจของโรงพยาบาลของกลุ่ม BCH.




วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

อิตาลีพาวิเลียนนำเทคโนโลยีสุดล้ำร่วมขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคต ในงาน Future Energy Asia 2024

อิตาลีพาวิเลียนนำเทคโนโลยีสุดล้ำร่วมขับเคลื่อนพลังงานแห่งอนาคต

ในงาน Future Energy Asia 2024

ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ 15-17 พฤษภาคมนี้

        สถานเอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทยและสำนักงานข้าหลวงพาณิชย์อิตาลี ภูมิใจนำเสนอเทคโนโลยีสุดล้ำจาก 8 บริษัทชั้นนำของอิตาลี ในงาน Future Energy Asia 2024 ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 ถึง 17 พฤษภาคม 2567 นี้ ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

        งาน Future Energy Asia 2024 จัดขึ้นภายใต้ธีม "Powering a resilient and low carbon energy future” สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการร่วมกัน ขับเคลื่อนอุตสาหกรรม เพื่อรับมือกับความท้าทาย ในการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานคาร์บอนต่ำหรือพลังงานสะอาดที่มีความเหมาะสมสำหรับอนาคต

        ทั้งนี้ ฯพณฯ นาย เปาโล ดิโอนิซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ ประเด็นนี้ว่า “การนำแหล่งพลังงานหมุนเวียนมาใช้เพื่อเสริมสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง"

        นางเปาลา กุยดา ข้าหลวงพาณิชย์อิตาลีประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ไทยและอิตาลีมีเป้าหมายที่สอดคล้องกันในการบริหารการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งสำหรับอนาคต โดยประเทศไทยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนพลังงาน           หมุนเวียนให้ได้ 30% ภายในปี 2580 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593  “งานนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับผู้นำอุตสาหกรรมพลังงานของไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียที่จะได้มาพบปะ เชื่อมโยง แลกเปลี่ยนความคิด และประสบการณ์กัน”

        ผู้เยี่ยมชมงาน Future Energy Asia 2024 จะได้พบกับ Italian Pavilion ซึ่งประกอบด้วยการจัดแสดงนิทรรศการจาก 8 บริษัทชั้นนำของอิตาลีที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลายในภาคส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมพลังงานได้แก่:

1. ASCOT: ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตพลังงานสีเขียวและพลังงานหมุนเวียนแบบผสมผสาน

2. BLUE GROUP: ผู้นำด้านวิศวกรรมและการออกแบบยานยนต์ รถไฟ และการบินและอวกาศ

3. CESI: บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคนิคและวิศวกรรมชั้นนำของโลกในด้านพลังงานไฟฟ้า

4. HT: ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์คุณภาพไฟฟ้าและการทดสอบความปลอดภัยด้านไฟฟ้า

5. MOIWUS: สตาร์ทอัพเทคโนโลยีสะอาดที่เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมไฮเทคสำหรับการบำบัดน้ำเสียและการรีไซเคิล

6. Nidec Industrial Solutions: ผู้ให้บริการชั้นนำด้านการแปลงพลังงาน การจัดการพลังงาน โครงข่ายไฟฟ้าขนาดเล็ก และ การจัดเก็บพลังงานแบตเตอรี่

7. REPCo: ผู้เชี่ยวชาญออกแบบกระบวนการที่ครอบคลุมสำหรับโครงการพลังงานต่างๆ

8. RINA: บริษัทที่มากด้วยประสบการณ์ระดับนานาชาติในด้านวิศวกรรม การให้คำปรึกษา การตรวจสอบ และการรับรองสำหรับภาคพลังงาน

        บริษัทดังกล่าวคือตัวแทนของเทคโนโลยีล้ำสมัย และความเชี่ยวชาญขั้นสูงในการบริหารจัดงานโรงไฟฟ้า วิศวกรรม พลังงานสีเขียว การจัดการน้ำเสีย อิเล็กทรอนิกส์กำลัง และบริการให้คำปรึกษาในด้านอุตสาหกรรมพลังงาน

“Italian Pavilion ในงาน Future Energy Asia 2024 จะแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอิตาลีในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและความยั่งยืนในภาคพลังงาน” ฯพณฯ เอกอัครราชทูต ดิโอนิซี กล่าว "เราพร้อมที่จะส่งเสริมสัมพันธภาพ และความร่วมมือกันเพื่อนำไปสู่อนาคตของพลังงานคาร์บอนต่ำ"

       สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถชมได้ที่ Facebook Page: ITA Bangkok


         

                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                           

สจล. เปิดหลักสูตร “นักสื่อสารดิจิทัล”พัฒนาศักยภาพคนพิการ

สจล. เปิดหลักสูตร “นักสื่อสารดิจิทัล”พัฒนาศักยภาพคนพิการ

        สำนักการเรียนรู้ตลอดชีวิตพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KLLC) ภายใต้สังกัดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดโครงการ DEP หลักสูตร “นักสื่อสารดิจิทัล เพื่อคนพิการ สร้างงาน สร้างอาชีพ” โดยมี ผศ.ดร.ทอแสงรัศมี ถีถะแก้ว ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร เป็นหัวหน้าโครงการ พร้อมด้วย รศ.ดร.จรสวรรณ โกยวานิช ผู้อำนวยการ KLLC, คุณหญิง ดร. สุมาลี อุทัยเฉลิม กรรมการสภาสถาบันฯ เข้าร่วมงานแถลงข่าวโครงการการขยายผลเครือข่ายอุดมศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพคนพิการ ในงานแถลงข่าวยังได้รับเกียรติจาก นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวเปิดโครงการ

ภายใต้ความร่วมมือจาก 6 สถาบันการศึกษา ได้แก่ 1. มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) 2. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) 3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) 4. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) 5. มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิทยาเขตสุพรรณบุรี (มสด.) 6. สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เพื่อร่วมกันพัฒนาศักยภาพคนพิการในการประกอบอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับตนเอง ณ ห้อง Auditorium ชั้น7 อาคาร The Knowledge Exchange (KX) กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา

        ผศ.ดร. ทอแสงรัศมี ถีถะแก้ว หัวหน้าโครงการนักสื่อสารดิจิทัลสำหรับคนพิการและผู้ดูแลคนพิการ” กล่าวว่า เป้าหมายของการอบรม คือ คนพิการสามารถมีทักษะในการประกอบอาชีพอิสระด้านการผลิตสื่อ และการสื่อสารดิจิทัล โดยสามารถทำเป็นอาชีพเสริมหรืออาชีพหลักได้ที่บ้านไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน โดยร้อยละ 100 ของผู้ผ่านหลักสูตรส่งเสริมการทำอาชีพอิสระ มีรายได้ ไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ปี พ.ศ. 2567 (328 บาท/ วัน) และยังสามารถสร้างเครือข่ายบุคลากรของสถาบันทั้ง คณาจารย์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง สามารถปฏิบัติงานเรื่องการเพิ่มศักยภาพคนพิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการได้อย่างยั่งยืน ไม่น้อยกว่า 30 ราย

       สำหรับหลักสูตรนักสื่อสารดิจิทัล DEP MASTERCLASS มาจากแนวคิดหลักสูตร “นักสื่อสารดิจิทัล” เพื่อคนพิการ สร้างงาน สร้างอาชีพ” ซึ่งความหมายของชื่อโครงการมีที่มาประกอบด้วย  DEP มาจากชื่อย่อกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ และยังมาจากความหมายของ D: Development Digital Skills, E = Empowerment, P = People, Professional Training หมายถึงเป้าหมายของโครงการในการสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เพื่อคนพิการ และDisable Persons can make Everything Possible. โดยมีรายวิชา ดังนี้

1. วิชาการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล

2. วิชาการเขียนบทความ การเขียนข่าวประชาสัมพันธ์

3. วิชาการถ่ายภาพ การทำภาพเพื่อการตลาด

4. วิชาการทำอินโฟกราฟฟิก การทำเอกสาร สื่อวิดีโอ นำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการ

5. วิชาการพูดในที่สาธารณะ

6. วิชาการพัฒนาบุคลิกภาพ และการสื่อสารอย่างมืออาชีพ

7. วิชาการตลาดดิจิทัล

       โดยในแต่ละวิชามีแผนการจัดอบรมด้วยระยะเวลารวมตลอดหลักสูตร 420 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะเริ่มอบรมระหว่างวันที่ 15 มิถุนายน - 31 สิงหาคม 2567  ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดและสมัครเรียนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายได้วันนี้ ถึง 31 พฤษภาคม 2567 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจำนวนผู้สมัครจะครบ 50 คน สามารถสมัครได้ที่ ลิ้งค์ https://shorturl.at/dnCV4 


สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024 “หนุมานกองปราบ” คว้าทีมชนะเลิศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติปิดการแข่งขัน Royal Thai Police SWAT Challenge 2024  “หนุมานกองปราบ” คว้าทีมชนะเลิศสุดยอดทีมปฏิบัติการพิเศษ เตรียมไปแข่...