วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2566

อุลตร้า วี ประเทศไทยรุกตลาดความงาม เชิญแพทย์สร้างมิติใหม่วงการความงาม ดึงไหมน้ำ “ULTRACOL” เอาใจเทรนด์เกาหลี

อุลตร้า วี ประเทศไทยรุกตลาดความงาม

เชิญแพทย์สร้างมิติใหม่วงการความงาม

ดึงไหมน้ำ “ULTRACOL” เอาใจเทรนด์เกาหลี


















           สร้างมิติใหม่สำหรับวงการความงาม บริษัท อุลตร้าวี เมดิคอล เอสเทธิค (ประเทศไทย) จำกัด  โดย กัลยารัตน์ ชุตาทวีสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ และ นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและรพ.แม่ฟ้าหลวง จัดบรรยายให้ความรู้ด้านสุขภาพเรื่อง ULTRACOL PDO microsphere (อัลตร้าคอล พีดีโอ ไมโครสเฟียร์) นวัตกรรมแห่งวงการแพทย์ความงามเพื่อเพิ่มขีดจำกัดยกระดับฝีมือแพทย์ไทยให้ทันเทรนด์โลก     โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยร่วมงานกว่า 50 ท่าน ที่ตึก พี เอส ทาวเวอร์

กัลยารัตน์ ชุตาทวีสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทอุลตร้าวี เมดิคอล เอสเทธิค ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยได้บินไปเสริมความงามที่ต่างประเทศกันค่อนข้างมาก ทางบริษัทฯ เล็ง เห็นว่าธุรกิจความงามกำลังเติบโตและเป็นที่ยอมรับในกลุ่มวัยรุ่นหนุ่ม สาว แม้แต่คนสูงวัย รวมถึงเทรนด์ความงามของปีนี้เป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากงานผิว ผิวดี ผิวสวย ดูเป็นธรรมชาติ ดังนั้นแพทย์ไทยที่มีความสามารถไม่แพ้ประเทศใดในโลกอยู่แล้ว ทางบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Skin Quality ในไทย จึงนำ  “ULTRACOL” PDO microsphere นวัตกรรมแห่ง Aesthetic ที่ใช้สาร PDO หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งในวงการแพทย์ว่า ไหมน้ำ” ได้ผ่านการรับรองของอย. เป็นที่เรียบร้อย และตอบโจทย์คนไทยเป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังติดเทรนด์ที่ใช้กันทั่วโลก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองความปลอดภัยจาก Korea Food and Drug  Administration จากประเทศเกาหลี รวมถึงได้จดสิทธิบัตรเฉพาะของ UltraV และได้รับรางวัลยอดเยี่ยม IR52 Jang Young Sill award จากเกาหลีใต้และงานในวันนี้จัดขึ้นเพื่อการเรียนการสอนการใช้ผลิตภัณฑ์ให้มั่นใจ เพื่อเป็นการยกระดับฝีมือแพทย์ไทย มีการอบรมแพทย์( Training) ใน 44 ประเทศทั่วโลกมาแล้ว

นพ. ไพศาล รัมณีย์ธร คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและรพ.แม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า เวชศาสตร์ชะลอวัยคือศาสตร์ในป้องกันความเสื่อมในร่างการกายและฟื้นฟูสุขภาพโดยมีจุดประสงค์ให้คนเรามีอายุยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพื่อเสริมสร้างซ่อมแซมส่วนที่เสียหาย โดยใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ด้านความงามมีการพัฒนาความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพอย่างมาก รวมถึงคนในสมัยใหม่มีการดูแลสุขภาพใบหน้า ผิวพรรณกันมากขึ้น รวมถึงการเติมเต็มบนใบหน้า ให้ดูสวยงาม ดูเป็นธรรมชาติ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและได้รับการรับรองมาตรฐานจึงตอบโจทย์ความทันสมัยด้วยเทคนิคการเติมเต็มนี้ ULTRACOL (ไหมน้ำ) โดยมีลักษณะเป็นผงไหมน้ำในรูปแบบฉีด นวัตกรรมนี้ถูกคิดค้นมาเพื่อให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนจากภายใน โดยไหมน้ำจะช่วยทำให้กระจายตัวได้ทั่วบริเวณใบหน้าเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนได้เป็นบริเวณกว้าง เพิ่มความหนาแน่นของชั้นผิว ลดการบาดเจ็บ ลดการบวมช้ำ เมื่อเราอายุมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือผิวที่หย่อยคล้อย Telomere ลดลงจึงต้องมีตัวช่วย ผลิตภัณฑ์ “ULTRACOL” ตัวนี้จะช่วยในเรื่องผิวหน้าให้มีความยืดหยุ่นเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ที่ใช้บริการและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี

    อย่างไรก็ตาม ULTRACOL PDO microsphere หรือไหมน้ำสามารถฉีดได้แม้ในบริเวณที่บอบบางที่สุดอย่างใต้ดวงตา และฉีดได้ทุกจุดบนใบหน้าไม่มีข้อห้ามใด ๆ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะช่วยในเรื่องผิวหน้าให้มีความยืดหยุ่นด้วยการกระตุ้นผิวให้ผลิตคอลลาเจน และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ใช้บริการได้

อุลตร้า วี ประเทศไทย จัดงานบรรยายเชิญแพทย์สร้างมิติใหม่วงการความงามดึงไหมน้ำ “ULTRACOL” เอาใจเทรนด์เกาหลี

อุลตร้า วี ประเทศไทย จัดงานบรรยายเชิญแพทย์สร้างมิติใหม่วงการความงามดึงไหมน้ำ “ULTRACOL” เอาใจเทรนด์เกาหลี

อุลตร้า วี ประเทศไทย จัดงานให้ความรู้ด้านสุขภาพความงามด้านวิชาการเรื่อง ULTRACOL PDO microsphere (อัลตร้าคอล พีดีโอ ไมโครสเฟียร์) นวัตกรรมแห่งวงการแพทย์ความงามเพื่อเพิ่มขีดจำกัดยกระดับฝีมือแพทย์ไทยให้ทันเทรนด์โลก โดยมีแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยร่วมงานกว่า 50 คนเข้าร่วมงาน ที่ชั้น 25 ตึกพี เอส ทาวเวอร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

งานในวันนี้จัดขึ้นเพื่อการเรียนการสอนการใช้ผลิตภัณฑ์ให้มั่นใจ เพื่อเป็นการยกระดับฝีมือแพทย์ไทย มีการอบรมแพทย์( Training) ใน 44 ประเทศทั่วโลกสำหรับ  “ULTRACOL” PDO microsphere นวัตกรรมแห่ง Aesthetic ผ่านการรับรองของอย. เป็นที่เรียบร้อยการสัมมนาในครั้งนี้มีแพทย์ชื่อดังเป็นวิทยากรบรรยาย อาทิ นพ.ไพศาล รัมณีย์ธร คณบดีสำนักวิชาเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง, นายแพทย์วรพจน์ ศิรามังคลานนท์ แพทย์ชื่อดังด้านความงาม, นายแพทย์ลัทธพล ม้าลายทอง จักษุแพทย์เฉพาะทางด้านกระจกตา และคุณกัลยารัตน์ ชุตาทวีสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอุลตร้าวี เมดิคอล เอสเทธิค ประเทศไทย จำกัด

โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น จัดแพ็คเกจเที่ยวมหัศจรรย์เชียงราย 3 แพ็คเกจสุดคุ้ม

โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น  จัดแพ็คเกจเที่ยวมหัศจรรย์เชียงราย 3 แพ็คเกจสุดคุ้ม

             โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น ภูมิใจนำเสนอแพ็คเกจมหัศจรรย์เชียงราย  3 แพ็คเกจสุดคุ้ม พักสบาย 3 วัน 2 คืนที่ห้องดีลักซ์ พร้อมอาหารเช้า และบริการดังนี้

แพ็คเกจ A.  High Tea Set ชายามบ่ายที่ห้องไลบรารี่ คาเฟ่ แอนด์ ไวน์ ราคาเพียง  4,900  บาท สำหรับ 2 ท่าน

แพ็คเกจ B. เที่ยวในเมือง  พาเที่ยวชมบรรยากาศยามค่ำคืน เมืองเชียงราย (ไนท์บาร์ซาร์เชียงราย / หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติฯ / ถนนคนเดินวันเสาร์) ซึ่งมีรถบริการ 2 รอบ ในช่วงเวลา 18.45 น.และ 19.45 น. ราคาเพียง   4,600 บาท สำหรับ 2 ท่าน

แพ็คเกจ C. เที่ยววัดเชียงราย พาไหว้พระ เอาใจสายบุญ 3 วัดดังในเชียงราย (วัดพระแก้ว / วัดพระสิงห์ / วัดพระธาตุดอยจอมทอง) ในราคาเพียง 5,400 บาท สำหรับ 2 ท่าน

              ทุกแพ็คเกจมีบริการ Wifi  ชากาแฟในห้องพัก ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนแมกไม้ร่มรื่น และอื่นๆ อีกมากมาย  ตั้งแต่ วันนี้ – 31 ตุลาคมนี้สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือจองได้ที่โทร 052 055 888  Line ID: @335tkcsv  และ: https://shorturl.asia/Upc2n หรือ www.heritagechiangrai.com


ททท. เปิดหมุดหมายใหม่ “เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง Happy Link Thailand’s Dream Destinations ภายใต้ โครงการ The LINK Local to Global

ทททเปิดหมุดหมายใหม่ เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง 

Happy Link Thailand’s Dream Destinations

ภายใต้ โครงการ The LINK Local to Global”

        การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เชิญชวนนักท่องเที่ยวร่วมเปิดประสบการณ์การเดินทางครั้งใหม่ กับโครงการ เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง Happy Link : Thailand’s Dream Destinations เชื่อมความสุขกับปลายทางแห่งการท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการ The LINK Local to Global” ที่ ทททจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวข้ามภูมิภาค ด้วยการนำเสนอภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่พัฒนาและยกระดับในมุมมองใหม่

 นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในงานแถลงข่าว เส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง Happy Link  Thailand’s Dream Destinations เชื่อมความสุขกับปลายทางแห่งการท่องเที่ยว ภายใต้ โครงการ The LINK Local to Global” โดยมี ชนินทร จิตปรีดา (แวน) นักแสดง และ คอนเทนท์ครีเอเตอร์ มาร่วมพูดคุยในเรื่องการเดินทางท่องเที่ยว ณ ห้องโถงธนะรัชต์ ชั้น 1 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เมื่อวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2566

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวถึงความเป็นมารวมถึงเชิญชวนนักท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ผ่านเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่ว่า โครงการดังกล่าว ได้รับความมือจากพันธมิตรที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ในการจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวพื้นที่เชื่อมโยง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางกระจายตัวของนักท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคไปยังจังหวัดต่างๆของประเทศไทย ด้วยการนำเสนอภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ผ่านสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่พัฒนาและยกระดับด้านการท่องเที่ยวในมุมมองใหม่ โดยเสนอผ่านเรื่องราว วิถีชีวิต วัฒนธรรม เชื่อมโยงพื้นที่ในมิติต่างๆ ทั้งด้านการคมนาคม สังคม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตและชุมชน รวมทั้งสร้างความเข้มแข็งด้านการท่องเที่ยวให้กับชุมชน ผู้ประกอบการ ในพื้นที่ ซึ่งจะสามารถสร้างกระแสการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างยั่งยืนตลอดทั้งปี และก่อให้เกิดรายได้สู่เศรษฐกิจ สังคม และชุมชน ตลอดจนห่วงโซ่อุปทาน  ผ่านเส้นทางท่องเที่ยว 15 พื้นที่เชื่อมโยง จำนวน 30 เส้นทาง ทั้ง 5 ภูมิภาค พร้อมผลักดันสู่การเป็น 1 ในหมุดหมายใหม่ที่จะสร้างคุณค่าและประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยวให้กับนักท่องเที่ยวชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นำไปสู่การยกระดับการท่องเที่ยวไทย สู่การเป็น 1 ใน destination การท่องเที่ยวระดับโลกต่อไปในอนาคต

และในวันนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมแล้วที่จะเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาสัมผัสคุณค่าและประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวข้ามภูมิภาคผ่านเส้นทางท่องเที่ยว 15 พื้นที่เชื่อมโยง จำนวน  30 เส้นทาง โดยมีเส้นทางเชื่อมโยงไฮไลท์ที่น่าสนใจ อาทิ

เส้นทางเชื่อมโยง : จังหวัดแพร่ คู่กับ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผ่านการเชื่อมโยงเรื่องราวของแฟชั่นงานผ้า Craft & Kram ผ้าหม้อห้อมซึ่งเป็นสินค้า GI ของจังหวัด เชื่อมโยงกับ ผ้าพิมพ์ลายพื้นเมืองโขมพัสตร์

เส้นทางเชื่อมโยง : จังหวัดเพชรบุรี คู่กับ จังหวัดเชียงใหม่ ผ่านการเชื่อมโยงเรื่องราวเส้นทางท่องเที่ยว  The Royal Route “เที่ยวพริบพรีภิรมย์” ชิมขนม ชมวัง ฟังเสียงคลื่น กับ กิจกรรมล่องเรือชมแม่น้ำปิงภิรมย์นาวาพร้อมจิบชา afternoon tea

เส้นทางเชื่อมโยง : จังหวัดจันทบุรี คู่กับ จังหวัดอุบลราชธานี ผ่านการเชื่อมโยงเรื่องราวของเส้นทางอาหาร เมนูสมุนไพรประจําถิ่น ที่มีชื่อเสียงประจําจังหวัดจันทบุรี อาทิ การนำกระวานมาเป็นวัตถุดิบในการปรุงอาหาร เชื่อมโยงกับ อาหารถิ่นจังหวัดอุบลราชธานีที่ได้รับสัญลักษณ์ ‘บิบ กูร์มองด์’ จากมิชลินไกด์ ปี 2566

เส้นทางเชื่อมโยง : จังหวัดนครพนม คู่กับ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผ่านการเชื่อมโยงด้วยความศรัทธา ความเชื่อ ที่แสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของงานประเพณีบวงสรวงองค์พญาศรีสัตตนาคราช จังหวัดนครพนม และงานประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุยามค่ำคืน จังหวัดนครศรีธรรมราช

อนึ่ง นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเส้นทางท่องเที่ยว 15 พื้นที่เชื่อมโยง จำนวน 30 เส้นทางทั้งหมดได้ที่ www.tourismthailand.org  


 

วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ทีเส็บจัดกิจกรรม ONE BELT ONE ROAD MICE ROADSHOW เตรียมพร้อมผู้ประกอบการไมซ์ 3 ประเทศ ต่อยอดเส้นทาง R3A รถไฟ จีน – ลาว - ไทย เข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ

ทีเส็บจัดกิจกรรม ONE BELT ONE ROAD MICEROADSHOW

เตรียมพร้อมผู้ประกอบการไมซ์ 3 ประเทศ ต่อยอดเส้นทาง R3A

รถไฟ จีน – ลาว - ไทย เข้าสู่ใจกลางกรุงเทพฯ



การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้ชื่อ One Belt One Road หรือ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ส่งผลให้ภูมิภาคอาเซียนรวมถึงประเทศไทยมีความใกล้ชิดกับสาธารณรัฐประชาชนจีนมากยิ่งขึ้น สาธารณรัฐประชาชนจีนมีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะการเดินทางมาท่องเที่ยวและทำกิจกรรมไมซ์บนพื้นที่เชื่อมโยง โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทาง เนื่องจากนักเดินทางชาวจีนมีความชื่นชอบการเดินทางและการค้นหาจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะ ประเทศไทย

เส้นทางสายไหมใหม่นี้ จึงเป็นเส้นทางสำคัญเส้นทางหนึ่งของการเดินทางมาประเทศไทยของนักเดินทางชาวจีนในอนาคต หลังจากจีนเปิดประเทศและจากการเปิดเดินรถไฟความเร็วสูงอย่างเป็นทางการ ส่งผลให้เกิดการตื่นตัวกันในวงกว้างถึงการเตรียมการรองรับนักเดินทางระหว่างประเทศในภูมิภาค CLMV - สาธารณรัฐประชาชนจีน  เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับนักเดินทางบนเส้นทางดังกล่าว สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สสปน. หรือ ทีเส็บ ร่วมกับ สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) จัดกิจกรรม ONE BELT ONE ROAD MICE ROAD SHOW 2023 ขึ้น โดยเชิญ Potential Buyer จาก สปป.ลาว จีน และเมียนมาร์ ที่สนใจทำตลาดไมซ์บนเส้นทาง One Belt One Road เชื่อมโยงประเทศไทย สัมผัสประสบการณ์ไมซ์เส้นทางสายเชียงราย-พิษณุโลก- กรุงเทพฯ ร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายและเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับผู้ประกอบการบนเส้นทางเชือมโยง เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการได้เชื่อมโยงเครือข่าย อันนำไปสู่การพัฒนาต่อยอดสู่เส้นทางไมซ์ไหม่ในอนาคตร่วมกัน


ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ สสปน. หรือ ทีเส็บ กล่าวว่า สำหรับการจัดกิจกรรม ONE BELT ONE ROAD MICE ROAD SHOW 2023 ในครั้งนี้ ทีเส็บได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เรียนเชิญ Potential Buyer จากสปป.ลาว จีน และเมียนมาร์ ที่ทำตลาดบนเส้นทาง One Belt One Road อยู่เดิมและสนใจจะขยายตลาดใหม่เพื่อเชื่อมโยงเส้นทาง R3A กับจังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย กว่า 20 ราย ร่วมกิจกรรมสร้างเครือข่ายและเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวและไมซ์บนเส้นทางเชียงราย-พิษณุโลกกรุงเทพฯ เพื่อสร้างโอกาสในการต่อยอดเส้นทาง R3A มายังภาคเหนือและเชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางประเทศไทย เพื่อเป็นการเพิ่มมิติความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเส้น R3A และสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจเดินทางมาพำนักเพื่อทำกิจกรรมไมซ์ในประเทศไทยยาวนานขึ้น ผ่านการนำเสนอสถานที่และแหล่งท่องเที่ยวใหม่ในประเทศไทยที่น่าสนใจแก่ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่การต่อยอดเป็น Package โปรแกรมเส้นทางไมซ์สร้างสรรค์ต่อไป โดยคาดว่าการเชิญกลุ่ม Buyer จากทั้ง 3 ประเทศเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ จะเกิดมูลค่าการจับคู่ทางการค้ากับคู่เจรจาของทั้ง 3 จังหวัดภายหลังงานไม่น้อยกว่า 18 ล้านบาท 


ด้านนายชัยพฤกษ์ ทองคำ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เล็งเห็นว่าความร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในครั้งนี้ ผ่านการจัดกิจกรรม ONE BELT ONE ROAD MICE ROAD SHOW 2023 จะเป็นโอกาสสำคัญในการฉายภาพให้เห็นว่า นอกจากด่านชายแดนที่จังหวัดหนองคายแล้ว ยังมีด่านชายแดนที่มีศักยภาพอีกหลากหลายเส้นทาง ซึ่งด่านชายแดนในภาคเหนือ อันประกอบไปด้วย ด่านชายแดนเชียงของ-ห้วยทราย และด่านแม่สาย จังวัดเชียงราย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งทางราง รถ และทางเรือ และถือเป็นด่านชายแดนสำคัญที่มีศักยภาพสูง สามารถต่อยอดเส้นทางให้เกิดแรงจูงใจในการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยว MICE ได้เป็นอย่างดีอีกเส้นทางหนึ่ง โดยเฉพาะนักเดินทางชาวจีนที่เข้ามายังเส้นทางนี้ ส่วนมากมาเป็นกลุ่มคณะใหญ่และส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจที่มีความพร้อมในการเดินทาง โดยจะจองที่พักโรงแรมหรู หรือ 4 ดาวขึ้นไป ดังนั้น การเลือกนำเสนอสถานที่บนเส้นทางเชียงราย-พิษณุโลกกรุงเทพฯ ในการทำ Route เส้นทางไมซ์ในครั้งนี้ จึงเป็นการแสดงศักยภาพให้เห็นว่า ทั้ง 3 จังหวัดนี้ ถือเป็นเมืองต้นแบบที่มีศักยภาพรองรับการเดินทางมาของนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจได้เป็นอย่างดี

 
         

                                                                                               

 

วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ททท. ราชบุรี ร่วมกับ สทน. และ ทัวร์คุณชาย จัดกิจกรรม ศรัทธานำทาง "ถวายเทียนพรรษา 9 วัด ประจำปี 2566" เส้นทาง สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

ททท. ราชบุรี   ร่วมกับ สทน. และ ทัวร์คุณชาย จัดกิจกรรม ศรัทธานำทาง 

"ถวายเทียนพรรษา 9 วัด ประจำปี 2566" 

เส้นทาง สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี










การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานราชบุรี (นครปฐม-ราชบุรี) นำโดยนางสาวปิยพัชร์ วงศ์โดยหวัง ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานราชบุรี ร่วมกับ สมาคมธุรกิจท่องเกี่ยวภายในประเทศ (สทน.) นำโดยนายชัยพฤกษ์ ทองคำ นายก สทน. และทัวร์คุณชาย นำโดยคุณลลิตา ขันแข็ง จัดกิจกรรม "ศรัทธานำทาง  ถวายเทียนพรรษา 9 วัด ประจำปี 2566"  เส้นทาง สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี โดยมี อาจารย์กอล์ฟ เป็นมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ ที่จะมาเล่าเรื่องราวประวัติของแต่ละวัดสอดแทรกตลอดการเดินทาง และนำกราบไหว้พระอย่างถูกวิธีและเหมาะสม เพื่อเสริมบารมี ความเป็นสิริมงคล เจริญก้าวหน้า ให้สถิตอยู่กับตัวเองและครอบครัวอย่างยั่งยืนตลอดไป

คณะพร้อมกันแล้วก็ออกเดินทางๆ ไปจังหวัดราชบุรีกันเลย เริ่มจาก "วัดกลางคลองข่อย" ต.คลองข่อย อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เป็นวัดแรก วัดนี้สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ได้พายเรือมาตามลำน้ำแม่กลอง และมาปักกลดจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำแม่กลอง ภายในวัดมีพระรูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี องค์ใหญ่ สูง 5.30 เมตร หน้าตักกว้าง 4 เมตร ประดิษฐานใต้ต้นโพธิ์ และพระยืนโบราณปางอุ้มบาตร ที่สมเด็จพุฒจารย์โตจัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2375 หรือสมัยรัชกาลที่ 4  ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูน สูง 16 ศอก หันหน้าสู่แม่น้ำให้เหล่าเทพเทวาและมนุษย์สักการะประจำทางด้านทิศตะวันตก แกนกลางขององค์พระมีเสาไม้ตะเคียนทั้งต้น จำนวน 4 ต้น เป็นแกนกลางอยู่ภายในแล้วก็ทำการก่ออิฐถือปูน แต่สมเด็จพระพุฒจารย์ (โต) ท่านได้สร้างไม่เสร็จสร้างได้เพียงแค่คอท่านนั้น และให้ชาวบ้านได้สร้างต่อกันเอง กาลเวลาผ่านไป พระยืนองค์นี้ชำรุดหักพัง (พระเศียรแตกร้าว พระกรทั้งสองข้างหัก) พระจารย์อวน พรฺหมฺสโร วัดมหาธาตุกรุงเทพ ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในถิ่นนั้น ย้ายมาอยู่วัดกลาง ได้เป็นประธานจัดการบูรณปฏิสังขรณ์ เมื่อปีมะแม พ.ศ.2474 จนกระทั่งการบูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2516 หลีงกราบสักการพระยืนและสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี องค์ใหญ่ขอพรเป็นสิริมงคลแล้ว คณะเราก็ร่วมกันถวายเทียนจำนำพรรษา โดยมีพระครูสังฆรัตน์ สุเทพ เสเทโว เจ้าอาวาสวัดกลางคลองข่อย เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา  อีกทั้งคณะเรายังร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 4,889 บาท



ต่อด้วยการถวายเทียนจำนำพรรษา "วัดตึกหิรัญราษฎร์" ตำบลเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม  จังหวัดราชบุรี  เป็นวัดที่ 2 วัดแห่งนี้สันนิษฐานคาดว่าวัดสร้างขึนเมื่อปี พ.ศ.2468 โดยก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะตั้งเป็นวัดหรือสำนักสงฆ์ รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปี 2438 พระองค์เคยมาประทับที่ตึกหรือวังหลัง (ปัจจุบันคือหอสวดมนต์) หลังจากนั้น ผู้ติดตามรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้น จึงได้ขอที่บริเวณนี้สร้างเป็นสำนักสงฆ์และใช้ชื่อว่า "วัดตึก" ต่อมาชาวบ้านได้มอบหินก้อนใหญเพื่อสร้างศาสนะต่างๆ บริเวณวัด จึงเรียกว่า "วัดหินราษฎร" เมื่อปี พ.ศ. 2541 วัดได้เสนอเปลี่ยนชื่อเป็น วัดตึกหิรัญราษฎร์ เพื่อขอวิสุงขามสีมา และใช้ชื่อนี้ จนถึงปัจจุบัน ในอดีตถือว่าวัดนี้เป็นสำนักตักศิลาแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อลือชาว่ามีเกจิอาจารย์ดังหลายองค์ อาทิ หลวงปู่อ่อน อินทสุวณฺโณ ปฐมเจ้าอาวาส,หลวงปู่เหลือบ วรธัมโม ฯลฯ ภายในวัดมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาสนสถานสำคัญๆ ได้แก่ พระพุทธหิรัญ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2510 เป็นพระพุทธปางยืน ความสูงประมาณ 5 - 6 เมตร ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าวิหารบูรพาจารย์, วิหารบูรพาจารย์ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2508 ภายในมีพระพุทธรูปต่างๆ ที่สำคัญ คือ พระรูปเหมือนอดีตท่านเจ้าอาวาสรูปก่อนๆ เช่น หลวงปู่อ่อน อินทสุวณฺโณ ปฐมเจ้าอาวาส, หลวงปู่เหลือบ วรธัมโม ฯลฯ, พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ตั้งอยู่ด้านหน้าวัด สร้างขึ้นปี พ.ศ. 2524 โดยมีความยาวประมาณ 5 - 6 เมตร, ตึกหรือวังหลัง ตึกเก่าที่ปัจจุบันกลายเป็นหอสวดมนต์ ซึ่งมีมาก่อนที่จะสร้างวัด รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลราชบุรี ในปี พ.ศ. 2438 พระองค์เคยมาประทับที่ตึกหรือวังหลังแห่งนี้ และเป็นที่มาของชื่อวัด ณ สมัยนั้น, พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดคงคาราม เคยเป็นกุฏิสร้างในสมัยกรุงธนบุรี เป็นเรือนไทย โดยพระครูสันตยาภิรัต เจ้าอาวาส ได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2540 และเห็นว่าชาวบ้านได้นำวัตถุสิ่งของและศิลปะ รวมถึงของมีค่าต่างๆ มาถวาย ท่านจึงได้จัดตั้งพิพิธภัณฑ์ และได้ขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. 2542, วิหารพระหยกขาว ตั้งอยู่ถัดไปจากพิพิธภัณฑ์ ภายในมีพระพุทธรูปต่างๆ มากมาย รวมถึงพระหยกขาว ให้กราบสักการะ และศาลพระโพธิสัตว์กวนอิม สูงประมาณ 3 เมตร ที่อยู่ด้านหลังของวัด ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นมาเมื่อใด เมื่อชมศาสนสถานและกราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สำคุญแล้ว คณะเราก็ร่วมกันถวายเทียนจำนำพรรษา โดยมีพระครูสันตยาภิรัต เจ้าอาวาสวัดวัดตึกหิรัญราษฎร์ เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา  พร้อมด้วยพระอาจารย์กำพล อตฺถกาโม หรือพระอาจารย์น็อต หลวงพี่ที่มีวิชาอาคมแก่กล้าที่เป็นที่นับถือของชาวบ้านและประชาชนที่เลื่อมใสศรัทธามาร่วมในพิธีด้วย ที่วัดนี้คณะเราก็ร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,900 บาท หลังจากทำพิธีเสร็จเกิดปรากฎการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดี




ตามด้วยวัดที่สาม "วัดสนามชัย" ตำบลเจ็ดเสมียน อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี คณะเราก็ร่วมกันถวายเทียนจำนำพรรษา โดยมีเจ้าอาวาสเป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา  และยังร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,550 บาท



ต่อด้วย "วัดอรัญญิกาวาส" ตำบลเจดีย์หัก อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นวัดที่สี่ สร้างมาแต่สมัยขอม ประมาณศตวรรษที่ 10 ถึง 16 เดิมชื่อ "วัดเจริญธรรมวิหาร" ภายในวัดมีพระปรางค์ขนาดใหญ่ สูงประมาณ  40 เมตร และปรางค์เล็กแบบบัวผัน 4 มุม หลังพระปรางค์มีพระนอน ทำด้วยหินแดงก้อนใหญ่ๆ เรียงก่อเป็นรูปพุทธบรรทมตะแคงขวา ยาวประมาณ 6 เมตร ส่วนพระพุทธไสยาสน์สร้างเมื่อ พ.ศ. 2030–2035 มีความยาว 15 วา ทำการบูรณะซ่อมแซมโดยการสร้างครอบองค์จริง มีความยาว 30 วา รอบองค์พระปรางค์ยังล้อมรอบไปด้วยระเบียงคด ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินทรายศิลปะอยุธยา พระพุทธรูปหินแดงสมัยลพบุรี ประดิษฐานอยู่โดยรอบ จำนวน 41 องค์ ที่วัดนี้ยังมีเจดีย์ทรงระฆังกลม ศิลปะแบบลังกา อีกสององค์อยู่ทางด้านหน้าของวัด และอุโบสถเก่า ขนาดกว้าง 7 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2438 โดยพระยาธรรมจรัญญานุกูลมนตรี (จำเริญ บุรณศิริ) ภายในอุโบสถมีพระประธานปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปปั้น ถือปูนปิดทอง ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก สูง 6 ศอก สันนิษฐานว่าภายในองค์พระประธานนี้จะมีพระพุทธรูปหินแดงสมัยลพบุรีประดิษฐานอยู่ นอกจากนี้ยังมีสระน้ำสาธารณะโบราณรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธา ตั้งอยู่ทางด้านหลังองค์พระพุทธไสยาสน์ หลังจากกราบสักการะพระพุทธไสยาสน์แล้ว คณะเราก็ร่วมกันถวายเทียนจำนำพรรษา โดยมีพระมหาณัฐชัย อภิวฑฺฒโน เจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา พร้อมร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,100 บาท




แล้วก็ถีง "วัดวังน้ำเขียว" ตำบลท่าเคย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี วัดที่ห้าของวันนี้ พระครูพิทักษ์อรัญเขต เจ้าอาวาสวัดวังน้ำเขียว เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษาจากคณะเรา และคณะเราก็ร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,760 บาท



คณะเราทำบุญถวานเทียนจำนำพรรษาวันนี้ตั้งแต่เช้าถึงเย็น  5 วัด ได้บุญกันทั่วหน้าก็เดินทางไปพักผ่อนกันที่ "อู่หลง รีสอร์ท"  ตกเย็นก็สังสรรค์ย้อนวัย กลับไปสู่วัยเรียน ด้วยธีมแฟนซีชุดนักเรียน คณะเราต่างแต่งตัวชุดนักเรียน ชุดลูกเสือ เนตรนารี และครูบาอาจารย์ มาประชันขันแข่งกันอย่างสนุกสนานสุดเหวี่ยง

สำนักสงฆ์หัวสาม" ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี วัดที่หก ที่วัดนี้คณะเราก็ร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 4,400 บาท



ต่อด้วยการถวายเทียนจำนำพรรษา "สำนักสงค์เริ่มชัย" ตำบลสวนผึ้ง อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เป็นวัดที่เจ็ด พร้อมร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,655 บาท




ก่อนถวายเทียนจำนำพรรษา คณะเราแวะเดินเล่น ช้อปปิ้ง และเซลฟี่ถ่ายรูปกันที่ "ตลาดโอ๊ะป่อย" ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี คำว่า "โอ๊ะป่อย" มาจากภาษากะเหรี่ยงแปลว่าพักผ่อน ตลาดแห่งนี้เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของผู้ประกอบการ ชุมชน วัด โรงเรียน และภาครัฐท้องถิ่น เราม่งหมายที่รังสรรค์สิ่งที่ดีสุดเพื่อความยั่งยืนแก่ชุมชน ด้วยความรัก เคารพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม รวมถึงผู้คน เป็นตลาดเช้าอยู่ติดริมลำธารภาชี สัมผัสอาหารพื้นถิ่นและของดีอำเภอสวนผึ้ง อาทิ ชาดาวอินคา เมี่ยงถั่วดาวอินคา อั้งหมี่ถ่อง (หรือกินข้าวห่อ) ข้าวแดกงา ข้าวยำสมุนไพร ขนมจีนน้ำยาหยวก ข้าวเหนียวปิ้ง ข้าวเหนียวหมู ผัดไทย ไก่อบโอ่ง ยำผักกูด ขนมครก ขนมบ้าบิ่น ขนมเบื้อง และได้อุดหนุนสินค้าผลิตภัณฑ์ งานทำมือของชุมชน ซื้อเป็นของฝาก ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ที่ไม่ควรพลาดคือ การใส่บาตรพระสงฆ์ที่ล่องแพไม้ไผ่มาตามลำน้ำภาชี ระหว่างเวลา 7.30-8.00 น. เป็นภาพประเพณีวัฒนธรรมที่สวยงาม และเป็นศิริมงคลแก่ผู้มาเยือน ซึ่งชุดใส่บาตรสามารถอุดหนุน ทำบุญให้กับเด็กนักเรียนโรงเรียนท่ามะขามบาตร ที่นำมาจำหน่าย  คณะเราได้ทานอาหารพิ้นถิ่น อุดหนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน ถ่ายภาพเซลฟี่ช่างอิ่มเอมใจ มีความสุข กลับไปพร้อมรอยยิ้ม ที่ได้มาเยือน



หลังช้อปจนพอใจ คณะเราก็บุญถวานเทียนจำนำพรรษากันต่อที่ "วัดท่ามะขาม" ตรงข้ามตลาดโอ๊ะป่อย วัดที่แปด เป็นวัดป่าหนึ่งเดียวที่มีบทบาทในเชิงสังคมและวัฒนธรรมต่อชุมชนสวนผึ้งและตะนาวศรีเป็นอย่างมากทั้งในแง่ความเป็นหนึ่งเดียวกันของผู้คน ศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ก่อตั้งเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 โดยหลวงพ่อบุญเลิศ (พระอาจารย์บุญเลิศ ธมมธีโป) วัดป่าท่ามะขามดำเนินกิจกรรมด้านการสืบทอดพระพุทธศาสนาผ่านกิจกรรมปฏิธรรมของญาติโยม การทำบุญ ด้านสังคม วัดป่าท่ามะขามให้การอนุเคราะห์เยาวชนและสมาชิกชุมขนในพื้นที่ทั้งในด้านทุนการศึกษา การอบรมทักษะวิชาชีพ รวมทั้งดำเนินโครงการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อสร้างสรรค์ชุมชนให้มีสุขภาวะที่ดีขึ้น คณะเราก็ร่วมกันถวายเทียนจำนำพรรษา โดยมีพระอาจารย์บุญเลิศ ธมมธีโป เจ้าอาวาสวัดท่ามะขาม เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา ที่วัดนี้คณะเราก็ร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 3,690 บาท พร้อมมอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนด้วย



แล้วก็ถึงวัดสุดท้าย "วัดมะขามเอน" ตำบลท่าเคย อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี วัดที่เก้า โดยมีพระอธิการณัฐพล กมฺพโล เจ้าอาวาสวัดมะขามเอน เป็นผูัทำพิธีรับมอบเทียนจำนำพรรษา และยังร่วมกันทำบุญถวายปัจจัยอีกจำนวน 9,999 บาท

สรุป การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานราชบุรี (นครปฐม - ราชบุรี) สมาคมธุรกิจท่องเกี่ยวภายในประเทศ (สทน.) และทัวร์คุณชาย รวมทั้งผู้มีศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา ร่วมกันทำบุญ "ศรัทธานำทาง  ถวายเทียนพรรษา 9 วัด ประจำปี 2566" เส้นทาง สวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี พร้อมร่วมถวายปัจจัยทั้ง 9 วัด เป็นจำนวนยอดรวมทั้งหมด 40,953 บาท สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี อิ่มบุญ อิ่มใจ กันทั่วหน้า


"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"

"ERGO ยกระดับการดูแล ส่งต่อความห่วงใย เปลี่ยนการเดินทางให้ง่ายขึ้นตลอดช่วง 7 วันอันตราย"      ERGO แบรนด์ประกันภัยชั้นนำจากเยอรมัน...